|
ประเพณีบุญของชาวกะเหรี่ยงบ้านตีนตก |
|
ประเพณีสร้างสะพานไม้เป็นพุทธบูชา |
|
ประเพณีนี้แรกเริ่มเดิมที ชาวบ้านจะทำกันในวันเพ็ญเดือน ๕ ของทุกปี โดยการช่วยกันหาไม้ไผ่มาต่อกันเป็นสะพานข้ามห้วยน้ำ และนำหมากพลูแขวนไว้บนสะพาน เพื่อที่ว่าเมื่อมีคนข้ามสะพานจะได้หยิบไปใช้ได้ ด้วยความเชื่อว่าเป็นการทำบุญบูชาคุณของพระพุทธเจ้า ความเชื่อนี้มีการเล่าสืบต่อกันมาในหมู่ชาวกะเหรี่ยงว่า ในสมัยพุทธกาลนานมา พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดำเนินออกโปรดหมู่สัตว์ไปทั่วทั้งแผ่นดิน ครั้นเสด็จมาถึงยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีลำน้ำขวางกั้นอยู่ ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นก็ได้เริ่มก่อสร้างสะพานสำหรับข้ามลำน้ำไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ คงเหลือเพียงช่องว่างพอที่จะกระโดดข้ามถึงกันได้เท่านั้น แต่ด้วยความไม่เหมาะกับสมณะสารูป พระพุทธองค์จึงทรงหยุดนิ่งอยู่ตรงช่องว่างระหว่างสะพานนั้น มิได้กระโดดข้ามไป ก็พอดีมีชายหนุ่มคนหนึ่งเห็นอาการเช่นนั้นของพระองค์ ประกอบกับมีศรัทธาเกิดขึ้นภายในใจ ชายคนนั้นจึงได้ทอดตัวของตนลงระหว่างช่องว่างของสะพานนั้น เพื่อให้พระพุทธองค์สามารถเสด็จข้ามไปได้ กล่าวกันว่า ด้วยผลบุญในครั้งนั้น ส่งผลให้ชายหนุ่มได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ และได้กลับมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งในกาลต่อมา |
จากเรื่องเล่าที่สืบทอดต่อกันมานี้ ทำให้เกิดประเพณีอีกอย่างหนึ่งขึ้นในหมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยง นอกเหนือไปจากการสร้างสะพานไม้ไผ่ นั่นก็คือประเพณีอุ้มพระสรงน้ำ |
|
|
ประเพณีอุ้มพระสรงน้ำ |
|
|
|
|
ประเพณีอุ้มพระสรงน้ำนี้ โดยปกติชาวบ้านจะจัดให้มีขึ้นในวันสงกรานต์ ซึ่งอิงมาจากความเชื่อเรื่องที่ชายหนุ่มทอดตัวเป็นสะพานให้พระพุทธเจ้าได้เสด็จข้ามลำน้ำ ทั้งยังเป็นการทำบุญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ตามคติโบราณที่ถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันเปลี่ยนปีนักษัตรใหม่อีกด้วย พิธีการก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยชาวบ้านจะจัดเตรียมที่สำหรับสรงน้ำพระขึ้นภายในวัด ด้วยการตัดกระบอกไม้ไผ่ให้เป็นลำราง เพื่อจะได้เทน้ำจากด้านหลังไปรดพระคุณเจ้าที่อยู่ทางปลายลำไม้ไผ่ด้านหน้า เมื่อถึงกำหนดเวลาที่ได้นิมนต์พระสงฆ์เอาไว้ ชาวบ้านก็จะมารวมตัวกันคุกเข่าทอดตัวลงเป็นสะพานให้พระสงฆ์เดินเหยียบหลังไปยังสถานที่ที่จัดเตรียมเอาไว้สรงน้ำพระ
อนึ่ง นอกจากความเชื่อว่าเป็นการทำบุญประการหนึ่งแล้ว ชาวบ้านยังมีความเชื่อด้วยว่าการให้พระได้เดินเหยียบไปบนหลังของตนจะทำให้ทุกข์ โศก โรค ภัย มลายหายสิ้นไป คล้ายๆ กับเป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง แต่ในบางปีหากมีชาวบ้านมาไม่มาก ก็อาจมีการเปลี่ยนจากการทอดตัวเป็นสะพานมาใช้ชายหนุ่มสองคนประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วให้พระภิกษุนั่งตรงกลาง จากนั้นก็ช่วยกันอุ้มพระภิกษุไปจนถึงที่สรงน้ำก็มี |
|
|
|
|
|
ประเพณีค้ำต้นโพธิ์ |
|
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาในหมู่ชนชาวกะเหรี่ยงว่า มีชายอยู่คนหนึ่งได้พบกับยมทูต และได้ทราบจากบัญชีของยมทูตตนนั้นว่าตนเองจะถึงฆาตในวันรุ่งขึ้น ด้วยความกลัวความตายอันจะมาถึงตนในไม่ช้า ทำให้ชายคนนั้นมีความกระวนกระวายใจไม่สามารถอยู่เป็นสุขในบ้านของตนเองได้ จึงได้ออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ด้วยหวังว่าจะบรรเทาความกลัดกลุ้มนั้นได้ ในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น พลันก็ได้พบเห็นต้นไม้ที่กำลังล้มเอนใกล้จะโค่นอยู่ต้นหนึ่ง เมื่อชายคนนั้นสังเกตได้ว่าต้นไม้นั้นคือต้นโพธิ์ ก็ทำให้ระลึกขึ้นได้ว่า ต้นโพธิ์นั้นเป็นต้นไม้ที่เกี่ยวเนื่องกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมื่อระลึกได้ดังนั้น ประกอบกับความศรัทธาที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนาเป็นทุนเดิม ชายคนนั้นจึงตัดสินใจที่จะรักษาต้นโพธิ์นั้นไว้ เพื่อเป็นการสักการะพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยเริ่มจากไปนำน้ำมารดดินบริเวณโคนต้นโพธิ์ให้ชุ่ม แล้วค่อยๆ ใช้ไม้ค้ำต้นโพธิ์ ดัดต้นไปทีละน้อย จนต้นโพธิ์กลับมาตั้งตรงได้เป็นผลสำเร็จ ครั้นเมื่อถึงกำหนดเวลาที่ยมทูตจะมารับตัวชายคนนั้นในวันรุ่งขึ้น ก่อนที่ยมทูตจะพาตัวเขาไปก็ได้ตรวจดูบัญชีของตนอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่า ชื่อของชายคนนั้นไม่อยู่ในบัญชีของคนที่จะตายในวันนี้แล้ว ยมทูตทั้งแปลกใจและสงสัย จนถึงกับเอ่ยปากถามชายคนนั้นว่าเมื่อวานได้ไปทำเหตุอะไรมา จึงเป็นผลให้รายชื่อในบัญชีของยมทูตคลาดเคลื่อนได้เช่นนี้ ในตอนแรกชายคนนั้นก็บอกว่าไม่ได้ไปทำเหตุอะไรพิเศษมาดอก แต่เมื่อถูกยมทูตซักหนักเข้า จึงได้นึกถึงเรื่องที่ได้ไปค้ำต้นโพธิ์มา ก็เลยเล่าให้ยมทูตฟัง ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มคนนั้นจึงได้มีอายุสืบต่อมาได้ และเป็นเรื่องเล่าขานจนกลายมาเป็นประเพณีในหมู่ชาวกะเหรี่ยง ที่ปีหนึ่งจะต้องนำไม้ไปค้ำต้นโพธิ์ที่มีอยู่ในหมู่บ้าน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กระทั่งสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน |
|
|